ที่นอนที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนี้มี 4 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ ที่นอนยางพารา ที่นอนสปริง ที่นอนฟองน้ำ และที่นอนใยมะพร้าว ซึ่งแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติ รวมไปถึงข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป
ที่นอนยางพารา
ในบรรดาที่นอนทุกชนิดที่นอนยางพารานั้นมีราคาสูงที่สุด แต่ก็มีความคงทน มีอายุการใช้งานที่ยาวนานสูงสุดถึง 20 ปี ที่นอนยางพารา โดยเฉพาะที่เป็นยางพาราแท้ 100% นั้นจะค่อนข้างหนัก แต่ผู้ใช้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยกที่นอนเพื่อพลิกสลับด้าน หรือเคลื่อนย้ายที่นอนออกไปตากแดดแต่อย่างใด เนื่องจากคุณสมบัติหนึ่งของที่นอนยางพาราคือการไม่กักเก็บความชื้นและฝุ่นละออง ที่นอนแบบนี้จึงไม่มีกลิ่นอับ เพียงแค่เปิดหน้าต่างให้ห้องมีอากาศถ่ายเทอยู่เป็นประจำก็เพียงพอแล้ว
นอกจากนี้ ที่นอนยางพารายังมีคุณสมบัติของความเป็นยางคือมีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูง จึงวางใจได้ว่าจะไม่ยุบตัวเป็นแอ่งตรงจุดที่นอน มีความนุ่มพอสมควร ทั้งนี้ความยืดหยุ่นของที่นอนยางพาราจะขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นของยางพารา ซึ่งผู้ซื้อต้องตรวจสอบให้ดี เนื่องจากที่นอนประเภทนี้ถ้าเป็นยางพาราแท้ๆ จะมีราคาสูง ผู้ผลิตหลายรายจึงมักจะนำวัสดุอื่นๆ เช่น ใยมะพร้าว ฟองน้ำ ยางสังเคราะห์ เข้ามาเป็นส่วนผสมซึ่งคุณสมบัติที่ได้จะไม่ดีเท่าที่นอนยางพารา100%
ที่นอนยางพาราจะมีกลิ่นของยาพาราในช่วงแรกที่ซื้อมาเนื่องจากที่นอนถูกห่อพลาสติกเอาไว้ แต่กลิ่นเหล่านี้จะจางลงไปเมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่ง การเลือกที่นอนยางพาราควรคำนึงถึงค่าความหนาแน่นหรือ Density ซึ่งจะเป็นตัวที่บอกว่าที่นอนยืดหยุ่นมากน้อยเพียงใด โดยทั่วไปจะใช้ค่าความยืดหยุ่นที่ 85 แต่ถ้าเลือกซื้อที่นอนสำหรับผู้สูงอายุค่าความยืนหยุ่น 110 เป็นช่วงที่เหมาะสม ความหนาแน่นที่มากขึ้นจะทำให้สามารถนั่งทรงตัวบนที่นอนได้ง่ายขึ้นเวลาลุกจากที่นอน ส่วนผู้ที่น้ำหนักตัวค่อนข้างมากจะเหมาะกับค่าความหนาแน่นที่ 65
ราคาของที่นอนยางพารานั้นจะเริ่มต้นที่ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป
ที่นอนสปริง
หากที่นอนยางพาราแพงเกินไป ที่นอนสปริงก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจเนื่องจากมีราคาที่ต่ำกว่า แต่ยังคงให้คุณสมบัติของความยืดหยุ่นและการคืนตัวที่ดีถึงดีกว่าที่นอนยางพารา เพราะสปริงที่อยู่ในที่นอนจะรองรับสรีระได้ดีกว่า เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบนอนตะแคงเพราะสปริงจะยุบตัวลงไปไม่กดทับ จึงไม่ปวดบริเวณไหล่เวลานอน
แต่การเลือกซื้อที่นอนสปริงนั้นต้องศึกษาข้อมูลให้ดีเพราะปัจจุบันผู้ผลิตมีการออกแบบที่นอนสปริงหลายรูปแบบ มีทั้งสปริงแบบแยกอิสระ Poster Tech ซึ่งทำให้สปริงสามารถรองรับการนอนของเราได้อย่างเต็มที่ แม้เป็นเตียงคู่เมื่อแต่ละคนพลิกตัวหรือเคลื่อนไหวก็ไม่สะเทือนไปรบกวนอีกคนหนึ่ง แต่อาจจะมีการเสียดสีกันระหว่างสปริงด้วยกันเองได้ จึงมีการพัฒนาเป็น Pocket Spring ซึ่งเป็นสปริงอิสระเช่นกันแต่สปริงจะถูกบรรจุอยู่ในช่องที่มีผ้ากันระหว่างกันจึงลดปัญหาสปริงเสียดสีกันเองได้ และสปริงประเภทสุดท้ายที่นำมาใช้คือ Bonell Spring ซึ่งเป็นสปริงแบบต่อเนื่อง ทำให้การสะเทือนนั้นแผ่กระจายไปทั้งที่นอน แต่จะไม่เหมาะกับเตียงคู่แม้ว่าจะมีราคาต่ำกว่าที่นอนสปริงแบบอื่นที่นอนสปริงนั้นมีความคงทนมาก สังเกตได้จากเป็นที่นอนที่โรงแรมชั้นนำต่างๆ เลือกนำไปใช้ในห้องพัก สำหรับราคาของที่นอนสปริงนั้นจะเริ่มต้นตั้งแต่ 6,000 บาทเป็นต้นไป ราคาที่ต่ำกว่านี้ต้องระวังว่าจะเป็นที่นอนที่ภายในเป็นขดลวดแทน
ที่นอนฟองน้ำ
ความนุ่มและนิ่มของฟองน้ำคือคุณสมบัติหลัก แต่ที่นอนประเภทนี้จะมีความยืนหยุ่นและการคืนตัวที่ไม่ดีเท่าที่นอนยางพาราและที่นอนสปริง และอายุการใช้งานจะสั้นกว่าที่นอนประเภทอื่น ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีอาการปวดหลังเพราะที่นอนจะอ่อนนุ่มและยวบ ไม่มีแรงต้านเพื่อรองรับสรีระมากเท่าที่นอนสปริง แต่ถ้าชอบจริงๆ ควรเลือกที่มีความหนาสักหน่อย ปัจจุบันผู้ผลิตได้ฟองน้ำให้หนาแน่นขึ้นและคงทนมากขึ้นจากแต่ก่อน ที่นอนฟองน้ำราคาเฉลี่ยประมาณ 5,000 บาท
ที่นอนใยมะพร้าว
ที่นอนประเภทนี้จะผลิตขึ้นมาจากใยมะพร้าวนำมาอัดกันแน่นด้วยกาวขึ้นรูปแบบที่นอน ทำให้ที่นอนมีความแน่นและทึบ ถ้าหากกำลังมองหาที่นอนที่ค่อนข้างแข็ง ไม่อ่อนยวบ ไม่ยุบตัว คุณสามารถพบคุณสมบตินี้ได้ในที่นอนใยมะพร้าว แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าที่นอนประเภทนี้เมื่อเสื่อมคุณภาพแล้วไม่ควรจะฝืนใช้งานต่อไปมากที่สุด การเสื่อมสภาพจะเริ่มจากการเปื่อยยุ่ย ฉีกขาดของผ้าที่หุ้มภายนอก จากนั้นใยมะพร้าวจะเริ่มลุ่ยเป็นขุยเป็นฝุ่นผง อันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ
ท้ายที่สุดนี้ เราแนะนำว่าการเลือกซื้อที่นอน ผู้ที่จะนอนควรจะเป็นคนไปเลือกด้วยตนเองดีที่สุด เพราะเดี๋ยวนี้ที่ร้านขายที่นอนจะจัดเตรียมที่นอนให้ลูกค้าทดลองนอน เบรคความอายไว้สักนิด แล้วทดลองนอนสัก 5-20 นาทีเป็นอย่างน้อย โดยช่วงเวลานี้จะเพียงพอที่ทำให้ที่นอนปรับเข้ากับสรีระของเรา และตัดสินได้ดีที่สุดว่าที่นอนนั้นเหมาะสมกับเราไหม นอนสบายหรือไม่
อย่าคิดว่าการซื้อที่นอนเป็นการลงทุนที่สูง เพราะตราบใดที่เรายังต้องใช้งานมันทุกวัน การเลือกสิ่งที่ได้คุณภาพถือเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดที่สุด